J-Charting เบื้องต้น

 J-Charting เบื้องต้น


โดย  Matt Blackman  April 03, 2012

จะมีเทรดเดอร์อเมริกาซักกี่คนที่รู้ว่ากราฟเทคนิคไม่ได้เกิดจากโลกตะวันตก แต่ว่าเกิดในญี่ปุ่น 300 ปีที่แล้ว ก่อนที่สหรัฐฯจะเป็นชาติเสียอีก ญี่ปุ่นใช้กราฟแท่งเทียนในการทำนายราคาข้าว 

ไม่มีใครู้จักกราฟแท่งเทียนในอเมริกาจนกว่าจะปี 1989 เมื่อ Steve Nison เขียนบทความเกี่ยวกับกราฟแท่งเทียนในนิตยสาร Technical Analysis of Stocks & Commodities. กราฟแท่งเทียนทำให้เทรดเดอร์เห็นว่าตลาดเปิดและปิดที่ไหน พร้อมกับราคา สูงสุดต่ำสุดของช่วงเวลานั้น แต่ว่ากราฟแท่งเทียนก็เหมือนกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ (ยกเว้น Point& figure) ที่ราคาอยู่บนแกน X และ Y ไม่ว่ามันจะเป็นกราฟ 1 นาทีหรือ 1 ปี ก็จะเกิดพฤติกรรมราคาขึ้นใน Time Frame นั้น ราคาสามารถสร้างขึ้นได้อัติโนมัติแต่ว่าราคาและเวลาได้ผูกติดกันเป็นกลุ่มของความสัมพันธ์

แต่ว่าการเคลื่อนไหวของตลาดไม่ได้เหมือนกันเสมอไป ในตลาดที่เคลื่อนไหวช้า จะมีการเคลื่อนไหวของราคาเพียงเล็กน้อย ขณะที่ตลาดเคลื่อนไหวเร็ว จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงราคาอย่างรุนแรง แล้วราคาที่อยู่ใน Set ของช่วงเวลานี้ มันจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการทำนายการเคลื่อนไหวของราคาไหม?



ตลาดในฐานะระบบที่เป็นพลวัตร


Inventor John Chen อาจจะไม่ได้คิดอย่างนั้น หลังจากที่พยายามหาทางที่จะแสดงพฤติกรรมราคาออกมาให้ดีที่สุด Chen  คิดว่าตลาดเคลื่อนไหวเหมือนกับระบบพลวัตร ที่ระบบจะสามารถแบ่งเป็น 2 อย่างคือ เวลากับราคา ซึ่งมีประโยชน์มากในการดูตลาด หลังจากที่มันเคลื่อนไหวไปแล้ว แต่เขาเชื่อว่ามันไม่ได้มีส่วนกับการเคลื่อนไหวของราคาในอนาคต ถ้าตลาดเป็นระบบที่มีประสิทธิภาพ จะมีพลังงานในระดับที่แตกต่างกันจึงไม่สามารถที่จะระบุระดับของการเคลื่อนไหวว่าจะไปทิศทางไหน มากน้อยเพียงใด ?


Chen เห็นว่าตลาดทำงานเหมือนระบบเทอโมไดนามิค ซึ่งจะมีช่วงที่เป็นดุลยภาพและช่วงแห่งความอลหม่าน เพราะว่าราคาจะหาจุดสมดุลใหม่ทุกครั้งหลังจากการเกิดเทรนด์ ถ้ามองอย่างนี้แล้ว  การคิดถึงพฤติกรรมราคาในแง่นี้ เหมือนกับการขึ้นเครื่องบินที่มีจุดจอดแตกต่างกันเป็นขั้นบันได  เมื่อมีการซื้อเพิ่มขึ้น ราคาเคลื่อนไหวขึ้นจากราคากลางและจะสูงขึ้นจนกว่าจะถึงจุดสมดุลจุดใหม่(Equilibrium)(จุดจอดใหม่) ซึ่งกระบวนการนี้ไม่ได้ขับดันโดยเวลา แต่ว่าขึ้นอยู่กับราคา และแรงขับภายในก็คือพฤติกรรมนักลงทุนที่เป็นตัวขับดันราคาที่มีความสัมพันธ์กัน


ตามที่เชนกล่าว ราคาไม่ใช่เรื่องสำคัญ เมื่อเทรดเดอร์เข้าใจกระบวนการว่าราคาเปลี่ยนแปลงอย่างไรและจะทำให้เทรดเดอร์ใช้มันได้อย่างง่ายดาย

 


มันทำงานอย่างไร

  

โปรแกรมของเชน เรียกว่า J-Chart โดยพล็อทราคาเป็นรูปแบบ 5 แบบคล้ายตัวอักษรจีน หรือ ตัวอักษรJE ส่วนของตัวอักษรสร้างขึ้นในแต่ละช่วงเวลา เมื่อมีธุรกรรมเกิดขึ้นณ ราคาใดราคาหนึ่ง ซึ่งทำให้ผู้ใช้สามารถหาระดับของจุดสมดุลของราคาที่เวลาใดเวลาหนึ่ง ขึ้นอยู่กับความชอบของผู้ใช้ เวลาใดก็ตามที่ใช้อาจจะรวมกันก็ได้  ราคาเปิดจะเป็นสี เหลือ ราคาปิดจะเป็นสีฟ้า


เนื่องจากราคาจะกำหนดในเวลาช่วงใด ช่วงหนึ่ง จะมีรูป 3 เหลี่ยมกำหนดขึ้น ถ้ามันหนักไปทางด้านบนของสามเหลี่ยมเหมือนกับรูปที่ 1 ที่แสดงอยู่ข้างล่างนี้ ช่วงกลางจะบุ๋มเข้าไปเหมือนที่ปรากฏ ยกเว้นเสียแต่ว่าตลาดจะเปลี่ยนเทรนด์ทิศทางใดทิศทางหนึ่งอย่างชัดเจนตรงกันข้ามกันขึ้นมา  



รูปที่ 1 - ภาพราคาแสดงใน  J-Chart เป็นรูป 3 เหลี่ยมจากจุดกำเนิดสีเหลือและจุดสมดุลคือ เส้นสีแดง ภาพจาก  J-Chart.com


จุดกำเนิด (point of origin) บางทีก็สูง หรือไม่ก็ต่ำขึ้นอยู่กับราคาที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร รูปที่ 1 นี้ เห็นชัดเจนว่าราคาอยู่ในระดับบน ในสถานการณ์ที่มีจุดสมดุล ราคาจาก High กับ Low จะเท่ากันจากจุดศูนย์กลาง (balance point) ซึ่งจำนวนราคาเกิดขึ้นอย่างสมมาตรกันตามเส้นสีเทา 


การพยากรณ์ราคา

J-Chart เสนอความคิดเกี่ยวกับตลาดว่าเป็นระบบพลวัตร ซึ่งทำให้ได้มุมมองใหม่ในการที่จะดู มันถูกออกแบบมาเพื่อช่วยเทรดเดอร์ตัดสินใจเมื่อ ตลาดอยู่ในจุดสมดุล และไม่สมดุล  ยิ่งพฤติกรรมราคามีรูปร่างคล้ายกับสามเหลี่ยมหน้าจั่วเท่าไหร่หมายความว่า ราคาเข้าใกล้จุ Equilibrium มากขึ้นเท่านั้น


ถ้าตลาดมีประสิทธิภาพ มันก็จะยิ่งเป็นเหตุเป็นผลมากขึ้น แต่ก็อย่างที่เทรดเดอร์หลายคนรู้ ตลาดไม่เคยมีประสิทธิภาพในตัวมันเองและไม่มีเหตุผล  ซึ่งเหตุผลนี้เข้าใจได้ง่าย ตลาดนั้น จะเป็นไปตามสภาวะจิตใจของคนส่วนใหญ่ และคนส่วนใหญ่ก็จะไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ และไม่ได้ขับดันด้วยเหตุผล มันค่อนข้างอ่อนไหวในช่วงที่ทุกคนโลภและกลัว(เมื่อราคาเคลื่อนไหวขึ้นผู้คนจะรีบเพราะกลัวตกรถและกลัวตอนที่ราคาโดนลาก)


 

รูปที่  2 - J-Chart model ของการเคลื่อนไหวของราคา ในความเป็นจริงการพล็อตราคานั้นไม่มีความสมดุลและสมดุลกันในเหตุการต่าง ๆ  เส้นสีเขียวแสดงให้เห็นถึงว่าเราจะทำนายพฤติกรรมราคาอย่างไร เส้นตรงสีเขียว ณ จุดล่างสุดเป็นเส้นเป้าหมายโดยการใช้จุด high ของช่วงเวลานั้น เชื่อมกันกับช่วงต่อ ๆ ไป 


 

รูปที่  3 - กราฟราคาจริงแสดงการเกิด Balance 2 จุดและช่วงกลางที่เป็นถ้ำ ซึ่งบอกว่าทิศทางไม่ชัดเจนอาจจะมีการเคลื่อนไหวต่ำหรือสูงกว่าราคาปัจจุบันก็เป็นได้ อย่างไรก็ตาม ถ้ำจะถูกเติมเต็มไปทีหลัง ภาพจาก J-Chart.com.


แม้ว่าราคาจะขับดันโดยความอ่อนไหวของนักลงทุน แต่ตลาดมักจะเป็นไปตามกฏของพลังงาน อย่างที่  Isaac Newton กล่าวไว้ว่า  " ทุก ๆ แรงกระทำจะมีแรงกระทำตอบกลับเท่ากันเสมอในทิศทางตรงข้ามกัน" การเคลื่อนไหวของราคาที่เคลื่อนไหวขึ้นอย่างรวดเร็วจะต้องกลับลงมาอย่างรวดเร็ว เพื่อเติมเต็มราคาในช่องที่ขาดหายไป(ถ้ำ) ซึ่งอยู่ในถ้ำของกราฟ J-chart แล้ว ถ้าราคาเคลือ่นไหวไปทิศทางใด ทิศทางหนึ่งและทำลายจุดดุลยภาพ(equilibrium) จะต้องสร้างจุดดุลยภาพใหม่

 

ราคา - จะไปที่ไหน? 

ทีนี้เคล็ดลับก็คืออะไรจะเกิดขึ้นถ้าเราทำการทำนายราคา มันจะไปถึงราคาหรือจุดสมดุลที่เรากำหนดไว้หรือไม่? หรือว่าถ้ำที่ว่างเปล่าจะถูกเติมหรือเปล่า?


การเซทโปรแกรม ผู้ใช้สามารถดูพฤติกรรมราคาได้หลายวิธี ซึ่งสามารถใช้ดูพฤติกรรมราคา 45 วันในครั้งเดียว แต่ว่าผู้ใช้อาจจะมีตัวเลือกในการเปลี่ยนสเกลได้ หรือรวมพฤติกรรมราคาไว้ในช่วงใดช่วงหนึ่งเพื่อให้ได้ภาพที่ดีขึ้นว่าเกิดอะไรขึ้น  การมองกราฟ 1 วันสามารถมองได้หลายมุม หรืออาจจะรวม 30 - 40 วันเข้าด้วยกัน ซึ่งจำนวนวันเวลาก็ขึ้นอยู่กับเทรดเดอร์จะเลือก เทรดเดอร์ระยะสั้นจะมองที่ 15 - 30 นาทีขณะที่ Swing Traders จะเลือกช่วงเวลา 60 - 120 นาทีเพื่อหาจุดเข้าออกและสามารถดู ระยะเวลาแบบ 2- 5 วันเข้าด้วยกันเพื่อดูระยาวด้วย



 

Figure 4 - ความพยายามในการเติมถ้ำของราคา(วงกลมสีแดง)  จุด balance ใหม่เกิดขึ้น ทำให้เกิดจุด ดุลยภาพใหม่ กราฟโดย  J-Chart.com.


ยิ่งไปกว่านั้น ประสบการณ์และทักษะของเทรดเดอร์ในการอ่านโปรแกรมจะทำให้คนเหล่านั้นที่จะสามารถตัดสินใจในการเทรดได้  จุด Stoploss จะใช้จุด major balance จากกราฟวันก่อนหน้า จุด high จุด low หรือเส้นแนวนอนที่พล็อตโดยโปรแกรมก็สามารถใช้เป็นแนวรับแนวต้านได้  เทรดเดอร์สามารถใช้ข้อมูลวันก่อนหรือช่วงก่อนหน้าสำหรับเทรดตอนตลาดใกล้จะเปิดเพื่อที่จะดูว่าเทรนด์ยังคงเป็นบวกอยู่ 

 

เมื่อเริ่มวันใหม่ จะมีการเซทระยะจากช่วงใดช่วงหนึ่งตั้งแต่ 15 - 60 นาที(ขึ้นอยู่กับเส้นการเทรดของแต่ละคน) เทรดเดอร์จะดูพฤติกรรมราคาที่ออกมา เมื่อราคาเคลื่อนไหว เขาหรือเธอจะตั้งจุดทำกำไรและตั้ง Stop loss


J-Chart กับ Market profile

ถ้ามองอีกแง่หนึ่ง J- Chart จะมีลักษณะคล้ายคลึงกับข้อมูลตลาด(Market profile) ที่พัฒนาโดย J. Peter Steidlmayer ร่วมกับ Chicago Board of Trade ในปี  1980s. ซึ่งไม่เหมือนกับกราฟแท่งหรือกราฟแท่งเทียนอื่น ทั้ง J-Chart กับ Market Profile ให้เทรดเดอร์เข้าใจมุมมองตลาดใน 3 มิติ แต่ว่าโปรแกรมก็แตกต่างกันหลายอย่างด้วยกัน 


 

รูปที่ 5 รูปโปรแกรม Market Profile ของราคาถั่วเหลือแสดงในกราฟ 30 นาที ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ตรงกลาง และมีส่วนน้อยที่อยู่ตรงราคาสูงสุดกับต่ำสุด  ตัวอักษรที่เป็นพยัญชนะบอกถึงเวลาซึ่งมีการเทรดเกิดขึ้น  \'A\' จะพล็อตขึ้นถ้าการเทรดเกิดขึ้นระหว่างเวลา  0800และ 0830,  \'B\' จะพล็อตจากเวลา 0830 ถึง 0900 และจากนี้ไปตามลำดับ การตัดสินใจจะใช้โอกาสเกี่ยวกับเวลาและราคา  ทุก ๆ 30 นาทีที่กราฟแสดง เทรดเดอร์ต้องตัดสินใจว่าราคาจะไปทางไหน  ซึ่งจุดตัดสินใจนี้ก็จะคล้ายกับจุดสมดุลใน J-Chart ภาพจาก cisco-futures.com.



Market Profile จะใช้ตัวหนังสือในการพล็อตเมื่อเกิดธุรกรรมเกิดขึ้นในช่วงเวลา 30 นาทีดังนั้น 'A' จะเกิดขึ้น8:00 และ 8:30 a.m. ขณะที่ 'B' เป็นช่วง 8:30 และ  9:00a.m. เรียงตามลำดับ และพล็อตออกมาในรูประฆังสำหรับพฤติกรรมราคา ซึ่งภาพจะทำให้เทรดเดอร์เห็นว่าราคาไปทางไหนมากที่สุดและตรงไหนมีกิจกรรมการเทรดน้อยที่สุด พื้นที่ที่มีการซื้อขายมากที่สุดจะเป็นพื้นที่ 70 % ของช่วงที่ราคามีการเคลือ่นไหว (ตามรูปที่ 5)  ลักษณะที่ชัดเจนของ  Market Profile คือ ถ้าราคาเคลื่อนไหวออกจากพื้นที่ตรงกลาง 70 % นั้นหมายความว่ามีแนวโน้มที่ราคาจะกลับมาที่เดิมหากปริมาณการซื้อขายเบาบางลงหรือกล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่าราคามีแนวโน้มที่จะกลับเข้ามาช่วงจุดควบคุม หรือจุดที่เกิดกิจกรรมการซื้อขายมากที่สุด โดยจะพล็อตในกราฟ 30 นาทีเท่านั้น

J-Chart จะสามารถพล็อตได้หลายช่วงเวลาและตีความแตกต่างจาก Market Profile กราฟสามารถให้นักลงทุนดูกราฟได้ตั้งแต่ 45 วันในครั้งเดียวหรือ 45 กราฟ พร้อมกัน สำหรับการเทรดรายวัน เทรดเดอร์สามารถตั้งระยะเท่าไหร่ก็ได้เริ่มตั้งแต่ 1 นาทีไปจนถึง 405 นาที(สำหรับ futures)

เมื่อมองจากแนวคิด สิ่งที่แตกต่างระหว่างสองโปรแกรมนี้คือ  Market Profile จะใช้ การกระจายรูประฆัง และมีแนวโน้มที่จะกลับเข้าจุดควบคุม(ช่วงราคากลาง 70 %) ขณะที่ J-Chart นั้นเป็นระบบพลวัตร ของราคาที่แต่ละแรงกระทำจะต้องเท่ากับแรงกระทำตรงข้าม  J-Chart จะสามารถทำนายราคาในอนาคตได้โดยอยู่บนพื้นฐานของราคาในอดีต การกระจายของราคาขึ้นอยู่กับ Time Frame ที่เลือก 

 การทำนายราคาสำหรับ J-Chart นั้นก็ค่อนข้างง่าย ต้องขอบคุณเครื่องมือในการพยากรณ์ และผู้ใช้ไม่ต้องมานั่งสมมุติราคาว่าจะกลับมาที่ราคาเฉลี่ยของรายวันหรือไม่ ถ้ามีการเกิดช่องว่างในพฤติกรรมราคา(ถ้ำ) เทรดเดอร์สามารถคาดเดาได้เลยว่าจะเกิดการปรับสมดุลในอนาคตอันใกล้

อีกความได้เปรียบหนึ่งคือ  J-Chart มีความได้เปรียบมากกว่า  Market Profile  เพราะว่าเทรดเดอร์ที่ใช้จนชำนาญจะเข้าใจธรรมชาติของการกลับตัวของราคา ซึ่งต้องขอบคุณหลักการ resonance ซึ่งมันเกิดขึ้นเมื่อมีการพยากรณ์ในช่วงเวลาใดก็ตามหมายความว่า เมื่อมันเกิด resonance มันพร้อมที่จะเกิดการกลับตัวหรือว่าพักฐาน จุด resonance ที่ว่านี้มักจะให้เป็นจุดกลับตัวที่ดีสำหรับเทรดเดอร์เพื่อที่จะใช้ทำกำไรก้อนใหญ่ได้ 

โปรแกรมทั้งคู่นั้นมีประโยชน์มากในการเทรดตลาด Forex ที่ซึ่งข้อมูลนั้นยากที่จะได้มา เทรดเดอร์สามารถตัดสินได้ว่าจะใช้ปริมาณจากจำนวนการทำธุรกรรมที่เกิดขึ้นณระดับราคาต่าง ๆ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้ข้อมูลจากกราฟแท่งเทียนและบาร์ชาร์ท

 จบการเริ่มต้น

อินดี้และระบบใหม่จะถูกสร้างขึ้นโดยนักพัฒนาและเทรดเดอร์ที่จะพยายามสร้างกำไรจากระบบที่ดีกว่า บ้างก็ได้รับความนิยมและเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสำหรับเทรดเดอร์ แต่บางอันก็ไม่ได้รับความนิยมแต่โชคไม่ดี ผลลัพท์ของการเทรดที่ออกมาไม่ได้แสดงประโยชน์อะไรจากระบบมากและไม่สามารถสะท้อนความเฉียบแหลมของคนสร้างได้

การสร้างระบบมักจะต้องเจอกับระยะเวลาแห่งความยากลำบากที่จะทำให้คนอื่นยอมรับ เพราะว่าทฤฎีและการประยุกต์ใช้แนวคิดของมันไม่เป็นที่คุ้นเคย ถ้านักพัฒนาไม่ได้ใช้เวลาในการผลักดันมันจนกว่าจะได้รับความนิยม ระบบอาจจะใช้ในกลุ่มเล็ก ๆ และได้กำไรหรือว่าอาจจะจบด้วยระบบบนหิ้งที่ไม่เคยนำมาใช้ก็ได้เช่นกัน 

ไม่ว่าเครื่องมือเทรดใด ๆ ก็ตามมันขึ้นอยู่กับเทรดเดอร์ที่จะใช้เอาอะไรเข้าไปใส่ ถ้าตลาดเป็นระบบเทอโมไดนามิคเทรดเดอร์ที่ใช้ J-Chart ก็จะมีความได้เปรียบต่อผู้เล่นกลุ่มอื่นเช่นกราฟเส้น หรือกราฟแท่งเทียน 

Comments